ยูเลียน นาเกลส์มันน์ ปกป้องฟอร์มการเล่นของ โฟลเรียน เวียร์ตซ์

Browse By

ยูเลียน นาเกลส์มันน์ หัวหน้าโค้ชทีมชาติเยอรมนี ออกมาปกป้องลูกทีมคนสำคัญอย่าง โฟลเรียน เวียร์ตซ์ หลังจากนักเตะดาวรุ่งจากสโมสรไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ถูกสื่อและแฟนบอลบางส่วนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นที่ดูดร็อปลงในช่วงหลัง โดยเฉพาะในเกมกระชับมิตรล่าสุดที่อินทรีเหล็กไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ตามความคาดหวัง กุนซือวัย 37 ปีรายนี้ยืนยันชัดเจนว่า เวียร์ตซ์คือหนึ่งในผู้เล่นที่มีอนาคตสดใสที่สุดของวงการฟุตบอลเยอรมัน และเขายังคงเชื่อมั่นเต็มร้อยว่ากองกลางดาวรุ่งรายนี้จะกลับมาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในไม่ช้า

หลังจากทีมชาติเยอรมนีเสมอกับคู่แข่งในเกมอุ่นเครื่องช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่พุ่งตรงไปที่เวียร์ตซ์ วัย 21 ปี ที่ถูกคาดหวังให้เป็นเพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของทีมชุดนี้ เขาได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างในเกมได้มากนัก จังหวะการจ่ายบอลและการตัดสินใจบางครั้งขาดความเด็ดขาด ทำให้แฟนบอลบางส่วนมองว่าเขายังไม่พร้อมสำหรับการแบกรับความกดดันในระดับทีมชาติ

อย่างไรก็ตาม นาเกลส์มันน์กลับไม่เห็นด้วยกับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น และเลือกที่จะออกมาปกป้องลูกทีมต่อหน้าสื่อ โดยกล่าวว่า “โฟลเรียนยังคงเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมและมีคุณภาพสูง เขาอาจมีเกมที่ไม่สมบูรณ์แบบบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเล่นแย่ เขายังสร้างโอกาสได้หลายครั้งและทำหน้าที่ตามแผนที่วางไว้ ผมรู้ดีว่าแฟนบอลคาดหวังอะไรจากเขา แต่ผมเห็นสิ่งที่มากกว่านั้นในสนาม สิ่งที่เขาทำเพื่อทีมไม่ได้วัดได้แค่จำนวนประตูหรือแอสซิสต์”

คำพูดของกุนซือรายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในธรรมชาติของนักเตะดาวรุ่ง การที่นาเกลส์มันน์ซึ่งเคยเป็นโค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องการพัฒนาเยาวชน ออกมาปกป้องลูกทีมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบเดียวกันมาก่อนในฐานะโค้ชของไลป์ซิกและบาเยิร์น มิวนิก ที่ต้องดูแลผู้เล่นอายุน้อยในทีมชุดใหญ่ การให้โอกาสและความเชื่อมั่นคือสิ่งที่เขายึดมั่นเสมอ

เวียร์ตซ์ถูกมองว่าเป็น “อัญมณีล้ำค่า” ของฟุตบอลเยอรมันในยุคใหม่ ตั้งแต่แจ้งเกิดกับเลเวอร์คูเซ่นเมื่ออายุเพียง 17 ปี เขาก็กลายเป็นกำลังหลักของทีมทันทีด้วยสไตล์การเล่นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ การจ่ายบอลทะลุช่องที่เฉียบคม และความมั่นใจเกินวัย เขาเป็นนักเตะที่สามารถเล่นได้ทั้งในตำแหน่งหมายเลข 10 หรือปีกซ้าย และมีความเข้าใจเกมที่ลึกซึ้ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่โค้ชระดับโลกอย่างนาเกลส์มันน์ชื่นชอบ

แต่สิ่งที่หลายคนอาจลืมไปคือ เวียร์ตซ์เพิ่งกลับมาลงสนามได้เต็มรูปแบบหลังจากบาดเจ็บหนักเมื่อปี 2022 ที่ทำให้เขาต้องพักยาวกว่า 9 เดือน การบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าฉีกขาดทำให้เขาต้องเริ่มต้นใหม่เกือบทั้งหมด ทั้งเรื่องความมั่นใจและสภาพร่างกาย แม้ในฤดูกาลปัจจุบันเขาจะทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับเลเวอร์คูเซ่นภายใต้การคุมทีมของซาบี อลอนโซ่ แต่ในระดับทีมชาติ ความคาดหวังที่สูงเกินไปอาจกลายเป็นแรงกดดันที่ถ่วงเขาโดยไม่รู้ตัว

นาเกลส์มันน์มองเห็นปัจจัยเหล่านี้ และเลือกที่จะปกป้องนักเตะในช่วงที่เสียงวิจารณ์เริ่มดังขึ้น “ผู้คนต้องเข้าใจว่า เวียร์ตซ์เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อนหน้านี้ เขายังอายุน้อยและต้องการเวลาในการพัฒนา ไม่มีใครสามารถเล่นได้ดีทุกเกม โดยเฉพาะในระดับทีมชาติที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ผมไม่ต้องการให้เขาแบกรับความคาดหวังจนเกินไป สิ่งที่ผมต้องการคือให้เขาเล่นอย่างอิสระและสนุกกับฟุตบอลของเขา”

คำพูดนี้ทำให้แฟนบอลจำนวนมากรู้สึกคลายความกังวล เพราะนาเกลส์มันน์แสดงให้เห็นว่าเขามีแผนระยะยาวและมองข้ามผลงานในเกมเดียว เขาเข้าใจว่าเวียร์ตซ์คือทรัพย์สินที่ต้องได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอม เช่นเดียวกับที่เยอรมนีเคยดูแลนักเตะอย่างบาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ หรือโธมัส มุลเลอร์ในอดีต

ในมุมของผู้เชี่ยวชาญจากสมัคร ufabet ล่าสุด โปรโมชั่นจัดเต็ม พวกเขามองว่าการที่นาเกลส์มันน์ออกมาปกป้องเวียร์ตซ์ต่อหน้าสื่อคือ “การจัดการภายในทีมที่ชาญฉลาด” เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจให้นักเตะดาวรุ่งรู้สึกว่าตัวเองได้รับการสนับสนุนจากโค้ชอย่างเต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อสภาพจิตใจในเกมต่อ ๆ ไป การมีความมั่นใจคือสิ่งสำคัญสำหรับนักเตะที่ต้องเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 เพราะต้องรับผิดชอบในการสร้างสรรค์เกมรุกทั้งหมดของทีม การปกป้องจากกุนซือในเวลานี้จึงเป็นเหมือนเกราะกำบังทางจิตใจให้เวียร์ตซ์สามารถกลับมาเล่นในสไตล์ของตัวเองได้โดยไม่ต้องกังวลกับเสียงวิจารณ์จากภายนอก

เกมฟุตบอลระดับทีมชาติในยุคปัจจุบันไม่เพียงแต่ต้องอาศัยฝีเท้า แต่ยังต้องอาศัยสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งในการรับมือกับแรงกดดันมหาศาล เยอรมนีในช่วงไม่กี่ปีหลังต้องเจอกับเสียงวิจารณ์อย่างหนักหลังจากล้มเหลวในฟุตบอลโลก 2022 และยูโร 2020 การกลับมาของนาเกลส์มันน์ในฐานะโค้ชจึงถูกมองว่าเป็น “ภารกิจฟื้นฟูจิตใจ” ให้ทีมกลับมามีเอกลักษณ์และความมั่นใจเหมือนเดิม และเวียร์ตซ์คือหนึ่งในตัวแทนของยุคใหม่ที่โค้ชรายนี้ตั้งใจจะปั้นขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมในอนาคต

สิ่งที่ทำให้เวียร์ตซ์แตกต่างจากนักเตะเยอรมันรุ่นก่อนคือความกล้าที่จะเล่นฟุตบอลในแนวรุกด้วยจินตนาการ เขาไม่กลัวที่จะเลี้ยงบอลฝ่าแนวรับหรือจ่ายบอลในจังหวะเสี่ยง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมชาติเยอรมนีในยุคหลังขาดไปอย่างเห็นได้ชัด ความคิดสร้างสรรค์และสัญชาตญาณแบบนี้คือสิ่งที่นาเกลส์มันน์ต้องการมากที่สุดในทีมของเขา เพราะมันช่วยให้เกมรุกของอินทรีเหล็กมีมิติและความคาดเดาไม่ได้มากขึ้น

เมื่อย้อนมาดูสถิติในฤดูกาลปัจจุบันของเวียร์ตซ์กับเลเวอร์คูเซ่น เขามีส่วนร่วมกับประตูมากกว่า 20 ลูกในทุกรายการ ทั้งยิงเองและแอสซิสต์ ตัวเลขนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม เพียงแต่ในระดับทีมชาติ ความแตกต่างของจังหวะเกมและรูปแบบการเล่นอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว การเล่นร่วมกับนักเตะอย่างไค ฮาแวร์ตซ์, จามาล มูเซียล่า และอิลคาย กุนโดกัน ต้องอาศัยการสื่อสารและความเข้าใจในจังหวะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการปรับให้ลงตัว

นักวิเคราะห์จาก ufabet เล่นผ่านมือถือ รองรับ iOS และ Android ยังเสริมอีกว่า สไตล์ของเวียร์ตซ์เหมาะกับระบบที่เปิดโอกาสให้เขามีอิสระในการเคลื่อนที่มากกว่าเล่นเป็นตัวเพลย์เมกเกอร์แบบตายตัว และนาเกลส์มันน์รู้เรื่องนี้ดี เขาจึงเริ่มปรับระบบทีมชาติให้คล้ายกับเลเวอร์คูเซ่นของซาบี อลอนโซ่ เพื่อให้เวียร์ตซ์เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ การเข้าใจนักเตะและปรับแท็กติกให้เหมาะกับจุดแข็งของพวกเขาคือสิ่งที่โค้ชชั้นยอดต้องทำ และนาเกลส์มันน์ก็แสดงให้เห็นชัดว่าเขาอยู่ในแนวทางนั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่นาเกลส์มันน์เน้นย้ำคือการสร้าง “สภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้” ภายในทีมชาติ เยอรมนีชุดนี้มีนักเตะดาวรุ่งจำนวนมากที่ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ เช่น มูเซียล่า, เวียร์ตซ์ และนิโคลัส ฟุลล์ครุก การให้พวกเขาได้ลงเล่นร่วมกันบ่อย ๆ จะช่วยสร้างความเข้าใจและเคมีภายในทีม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่จะมาถึงในปี 2026

ในอีกมุมหนึ่ง สื่อเยอรมันบางส่วนชื่นชมการออกมาปกป้องลูกทีมของนาเกลส์มันน์ โดยมองว่าเป็นการแสดงภาวะผู้นำที่แท้จริง เพราะการปกป้องในเวลาที่ลูกทีมถูกวิจารณ์คือสิ่งที่โค้ชต้องทำเพื่อรักษาความเชื่อมั่นในห้องแต่งตัว นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงกดดันจากภายนอก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อทีมได้หากปล่อยให้ขยายวงกว้าง การสื่อสารเชิงบวกของโค้ชจึงมีผลโดยตรงต่อความกลมเกลียวของทีม และในกรณีนี้นาเกลส์มันน์ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม

เมื่อมองในภาพรวม เยอรมนีภายใต้การคุมทีมของนาเกลส์มันน์กำลังอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในยูโร 2026 การมีนักเตะอย่างเวียร์ตซ์ในทีมถือเป็นก้าวสำคัญ เพราะเขาไม่เพียงเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าโดดเด่น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลเยอรมันยุคใหม่ที่เน้นเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์มากกว่าพละกำลังแบบเดิม

และเมื่อเสียงวิจารณ์ค่อย ๆ จางหายไปหลังคำพูดของนาเกลส์มันน์ แฟนบอลเริ่มมองเห็นภาพใหม่ของทีมอินทรีเหล็กที่มีทั้งความสด ความกล้า และความมั่นใจ พวกเขาเชื่อว่าหากเวียร์ตซ์สามารถกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม เยอรมนีจะมีหนึ่งในแนวรุกที่อันตรายที่สุดในยุโรป และอาจเป็นตัวเต็งในการลุ้นแชมป์ยูโรครั้งต่อไป

ท้ายที่สุด นาเกลส์มันน์กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมไม่เคยสงสัยในตัวโฟลเรียน เขาเป็นนักเตะที่พิเศษมากและจะเป็นอนาคตของฟุตบอลเยอรมัน สิ่งที่ผมต้องทำคือช่วยให้เขาได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่” คำพูดนี้ไม่เพียงเป็นการให้กำลังใจลูกทีม แต่ยังเป็นการประกาศต่อโลกฟุตบอลว่า เยอรมนีมีเพชรเม็ดงามที่พร้อมจะเปล่งประกายในเวลาอันใกล้

และเมื่อแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงผู้ติดตามใน ufabet บอลชุดออนไลน์ ราคาดีที่สุด เฝ้าดูพัฒนาการของทีมอินทรีเหล็กในยุคใหม่ พวกเขาเริ่มเชื่อว่าเยอรมนีอาจกำลังกลับมามีจิตวิญญาณของ “เครื่องจักรไร้เทียมทาน” อีกครั้ง โดยมีนาเกลส์มันน์เป็นผู้นำ และโฟลเรียน เวียร์ตซ์ เป็นหัวใจสำคัญที่กำลังเติบโตภายใต้ร่มเงาแห่งความเชื่อมั่นที่โค้ชหนุ่มคนนี้มอบให้ นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องของแท็กติกหรือฟอร์มการเล่น แต่คือเรื่องของความเข้าใจ ความศรัทธา และการสร้างทีมที่ขับเคลื่อนด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ฟุตบอลเยอรมันยังคงน่าเกรงขามในทุกยุคทุกสมัย.